สำหรับนักกีฬาไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือการที่ต้องรู้จัก “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” และไม่ว่าจะฟาดฟันกันดุเดือดขนาดไหนในสนาม เมื่อเกมจบทุกอย่างก็ควรจะจบลงไปด้วย
เพราะถ้าไม่จบ มันจะมีปัญหาเหมือนที่ ราฮีม สเตอร์ลิง เจอ
สตาร์ทีมชาติอังกฤษ ตกเป็นข่าวอื้อฉาวที่สร้างความน่าประหลาดใจให้แก่ผู้คนจำนวนมาก เมื่อมีประกาศออกมาจากทางสมาคมฟุตบอลที่ตัดสินใจดร็อป สเตอร์ลิง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับคีย์แมนของทีมในเกมกับมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นเกมนัดที่ 1,000 ของทีมชาติอังกฤษด้วย
เหตุผลในการลงโทษคือการที่ สเตอร์ลิง ได้มีปากเสียงกับ โจ โกเมซ กองหลังรุ่นน้องในแคมป์ทีมชาติอังกฤษที่เซนต์ จอร์จ ปาร์ค ที่ก่อนหน้านี้ก็มีช็อตปัญหาในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาระหว่าง ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี ซึ่ง “เรือใบสีฟ้า” ของสเตอร์ลิง แพ้ไป 3-1
ทั้งนี้แม้จะมีการอ้างว่าหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ ทั้งสองฝ่ายได้เคลียร์กันไปแล้ว แต่ดูเหมือนความอารมณ์ค้างของสตาร์ทีมชาติอังกฤษจะยังไม่หาย และทำให้เมื่อมาเผชิญหน้ากันอีกที่เซนต์ จอร์จ ปาร์ค สเตอร์ลิง กับโกเมซ จึงมีการปะทะกันอีกในพื้นที่ส่วนตัวของโรงแรม เบอร์ตัน-ออน-เทรนต์ คอมเพล็กซ์
โดยฝ่ายที่เป็นคนเริ่มก่อนยังคงเป็นสเตอร์ลิงเหมือนเดิมที่ตามรายงานข่าวได้มีการพูดจากระทบกระเทียบ มีการตะโกนใส่หน้า ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมทีมที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับช็อกเพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่การล้อกันเล่นแล้ว
หลังเกิดเหตุเพื่อนร่วมทีมได้พยายามแยกทันที โดยสเตอร์ลิง ที่เริ่มได้สติก็ขอโทษต่อโกเมซทันที ซึ่งกองหลังวัย 22 ปี ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรได้ยอมรับคำขอโทษและทุกอย่างจบลงที่ตรงนี้
แต่ทางด้าน แกเร็ธ เซาธ์เกต ในฐานผู้จัดการทีมชาติอังกฤษยังปล่อยให้จบไม่ได้ จึงได้มีการตัดสินใจที่จะลงโทษสเตอร์ลิง ฐานกระทำผิดด้านความประพฤติ โดยห้ามเล่นในเกมกับมอนเตเนโกร ซึ่งเรื่องนี้เซาธ์เกต ได้ให้ทีมลงมติร่วมกัน เพื่อรักษาสิ่งสำคัญที่สุดคือทีมสปิริต
ด้านสเตอร์ลิง ได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย ยอมรับในความผิดของตัวเองซึ่งเกิดจากการปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ แต่ยืนยันว่าเขากับโจ โกเมซ ได้เคลียร์กันจบไปแล้วและพร้อมจะก้าวเดินต่อไป
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนักฟุตบอลจากสโมสรที่เป็นคู่แข่งกันในแคมป์ทีมชาติที่อาจกลายเป็นปัญหาทำให้ไม่สามารถเล่นเต็มที่เมื่อลงรับใช้ชาติได้
ในอดีตเคยมีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้น เช่น นักเตะจากทีมลิเวอร์พูล กับนักเตะจากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่ค่อยพูดกันในแคมป์ทีมชาติ หรือแม้แต่คนที่เคยเป็นเพื่อนรักอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด และริโอ เฟอร์ดินานด์ เมื่อเติบใหญ่ย้ายไปเล่นให้สโมสรอย่างเชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็กลับไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกันเหมือนเดิม
แฮร์รี เคน กัปตันทีม “สิงโตคำราม” คนปัจจุบัน เคยยืนยันว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นอีก แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสเตอร์ลิง และโกเมซ ก็เป็นการย้ำเตือนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะลบจะเลือนหายไปได้ง่ายๆอีก