VAR กับคืนที่ไม่น่าจดจำ

เมื่อคืนนี้เป็นอีกคืนที่เกิดคำถามถึง VAR ครับ เรียกว่าเป็นคืนที่ไม่น่าจดจำเลยสำหรับระบบที่ถูกคิดค้นมาเพื่อสร้างความยุติธรรมในเกมลูกหนัง
หากยังจำกันได้ VAR หรือ Video Assistant Referee คือระบบที่ถูกคิดค้นมาเพื่อช่วยผู้ตัดสินในการทำหน้าที่ตัดสิน โดยใช้ภาพวีดีโอเป็นเครื่องมือช่วย และไม่ได้โยนทุกอย่างให้อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ตัดสินกลางสนามแค่คนเดียว แต่ยังมีทีมที่ประจำการอยู่ในห้องที่พร้อมจะช่วยทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อให้ผู้ตัดสินนำไปพิจารณาในการตัดสิน
มันควรจะเป็นระบบที่สร้างความยุติธรรม และยุติความไม่โปร่งใสทุกอย่าง
แต่เมื่อคืนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น
ในเกมระหว่าง ชาลเก้ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ VAR ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นเมื่อมีการให้ลูกจุดโทษแก่ชาลเก้ โดยระบุว่า นิโกลัส โอตาเมนดี้ ทำแฮนด์บอล ซึ่งหากพิจารณาจากภาพแล้วนั้นยากจะตีความว่าเป็นการทำแฮนด์บอลที่ชัดเจน แต่ผู้ตัดสิน คาร์ลอส เดลเซร์โร กรานเด ยืนยันที่จะให้เป็นลูกจุดโทษ
โดยระหว่างที่ VAR เข้ามาทำหน้าที่ ใช้ระยะเวลานานถึง 3 นาทีซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานจนเกินไป ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การตัดสินล่าช้าเป็นเพราะ “จอ” ที่ตั้งอยู่ข้างสนามเกิดใช้ไม่ได้ ทำให้ผู้ตัดสินไม่สามารถมองเหตุการณ์และทำหน้าที่ในการตัดสินได้
นั่นทำให้ผู้ตัดสินชาวสเปนต้องฟังการพิจารณาจากทีมผู้ตัดสินVAR ที่ประจำการอยู่ในห้องแทน
ขณะที่ในเกมระหว่าง แอตเลติโก มาดริด กับ ยูเวนตุส ลูกโหม่งของ อัลวาโร่ โมราต้า ก็ถูก VAR ปฏิเสธที่จะให้ประตูอย่างน่ากังขาสำหรับแฟนบอลเจ้าถิ่น
และเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ โมราต้า ถูกตัดสินไม่ให้ประตูโดย VAR ในการพบกันทีมเก่าของเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยถูก VAR ปฏิเสธในเกมที่พบกับเรอัล มาดริด

ในจังหวะที่ได้ประตู โมราต้า ชิงเหลี่ยมอยู่กับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ซึ่งมี “มือ” ไปสัมผัสโดนตัวของคิเอลลินี่จริง แต่ก็ดูเป็นการสัมผัสที่เบามาก แต่ทางกองหลังชาวอิตาลีก็เก๋าพอที่จะรีบล้มอย่างง่ายดาย
เมื่อผู้เล่นของยูเวนตุสรุมล้อมผู้ตัดสิน VAR จึงทำหน้าที่ และปรากฏว่าผู้ตัดสินมองว่ามือของโมราต้าที่ไปสัมผัสคิเอลลินี่เป็นการ“ผลัก” จึงไม่ให้เป็นประตู
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นคำถามคือ หากเป็นปกติที่ไม่มี VAR เข้ามาช่วยตัดสิน จังหวะแบบนี้ผู้ตัดสินจะให้เป็นการฟาวล์หรือไม่? ซึ่งหากเอาตราชั่งความรู้สึกของคนที่ดูฟุตบอลมายาวนาน มันเป็นจังหวะชิงเหลี่ยมกันธรรมดาในเกมที่จะตัดสินว่าฟาวล์ ก็เป็นการให้ฟาวล์ที่ “เบา” เกินไป
น่าคิดว่าดูเหมือนผู้เล่นยูเวนตุส พร้อมจะล้มง่ายๆในเขตโทษและใช้การรุมล้อมผู้ตัดสินเพื่อกดดันให้มีการใช้ VAR เพราะรู้ว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะรอดตัวสูง
นอกจากนี้การพิจารณาโดยการดูจากภาพ Super Slow นั้นตกลงแล้วเป็นคุณหรือเป็นโทษ?
เพราะดูเหมือนว่าหลายครั้งที่ภาพ Super Slow นั้นทำให้ดูเหตุการณ์นั้นดู “ใหญ่” กว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสนาม
ในระยะหลังมีการพูดถึง VAR ว่าตัดสินสวนทางกับ“คอมมอนเซนส์”
ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด
แล้วมันจะต่างอะไรจากก่อนหน้านี้?
อย่างไรก็ดีเมื่อโลกฟุตบอลตัดสินใจเดินหน้ากับ VAR แล้วก็ควรจะก้าวเดินต่อไป ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
และบางทีเราเองมิใช่หรือที่เรียกมันว่า “เสน่ห์” ของเกมฟุตบอล