ครั้งหนึ่งในชีวิต

“นักฟุตบอลปัจจุบันถูกตีกรอบให้เล่นตามแท็คติกส์ ดังนั้นเราจึงไม่ได้เห็นนักเตะมีโอกาสได้แสดงศักยภาพ, เทคนิค, ทักษะ, ความสามารถด้านต่าง ๆ ออกมาซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ดูแล้วเหมือนนักเตะเก่า ๆ จะมีความสามารถดีกว่า”
ประโยคข้างต้นเกิดขึ้นจากคำถามของผมระหว่างขับรถกลับบ้านจากสนาม Pat Stadium หลังไปชมเกม พีทีที ระยอง บุกเสมอ การท่าเรือ เอฟซี 1-1
ผู้อธิบายภาพข้างต้น คือ โค้ชโปรไลเซนส์ นพพร เอกศาสตรา ประธานที่ปรึกษาสโมสรพีทีที ระยอง ที่นั่งรถกลับมาด้วยกัน 2 คน
คือ ผมสงสัยประเด็น “ทำไมรู้สึกว่านักบอลในอดีตเก่งกว่า หรือดูเหมือนมาตรฐานฝีเท้าจะดีกว่านักเตะในปัจจุบัน?”
ผมตั้งคำถามรวม ๆ และกว้าง ๆ แบบนั้นนะครับ
ทว่า คำตอบดังกล่าว “ฉายภาพ” ชัดเลยในเกมทีมชาติไทยบุกชนะจีน 1-0 ในศึก 4 เส้า “ไชน่า คัพ 2019” ที่เกิดคำถามง่าย ๆ แต่ตอบไม่ง่ายว่า ไทยเก่ง หรือ จีนแย่กันแน่?
ทีมชาติไทยดูเหนือกว่าไม่น้อย ทั้ง tactical และ technical speed ผ่านรูปแบบการเล่น “หลัง 3” และ style of play ที่เน้นต่อบอลสั้น กับครองบอลเป็นหลักสลับบ้างกับโต้เร็วบอลยาวไปที่ว่างแดนหน้าเพื่อทำ counter attack
ขณะที่ physical speed คือ ปัญหาของทีมชาติจีนตามที่ได้เห็นตั้งแต่เอเชียน คัพ ซึ่งเรานำแล้วแพ้ 1-2 ยุค มาร์เชโล ลิปปี้ และเกมนี้กับการคุมทัพ 5 วันของ ฟาบิโอ คันนาวาโร่
คือ จีน “ฮึดไม่ขึ้น” หรือเข็นก๊อก 2 แทบไม่ออก

โค้ชโต่ย + โชค ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และโชคทวี พรหมรัตน์ ทำให้เห็นว่า พอเราถอด “แท็คติกส์” โบราณ หรือคือ บอลไดเร็คต์ และเน้นแพ็คแผงหลังเพลย์เซฟอันเป็น style of play ที่ชนชาติไม่ถนัดออกไป
นักเตะไทยทำได้ดีขนาดไหน
ตรงกันข้าม ทีมชาติจีนถูก “แท็คติกส์” และกลวิธีของ คันนาวาโร่ ที่ครอบด้วยบอลไดเร็คต์จากริมเส้นเข้ากรอบเขตโทษไทยเป็นหลัก
นอกนั้นไม่มีบอลสั้น, เลี้ยงกินตัว หรือการครองบอล ต่อบอล หรือการเล่นเป็นกลุ่ม
ดูทีมชาติจีนเกมนี้แล้วก็นึกถึงอารมณ์ชมทีมชาติไทยยุค มิโลวาน ราเยวัช
สงสารแฟนบอล และนักบอล ครับ
ขณะที่ทีมชาติไทยมี movement สวย ๆ สมควรเป็นประตูเพิ่มอย่างน้อย 2-3 ลูกเหมือนที่โค้ชโต่ยว่าไว้ และหากเจ้ากอล์ฟ อดิศักดิ์ ไกรษร เข้าฟอร์มสักหน่อยคงจะดีมาก
รวมความแล้วในเกมนัดชิงชนะเลิศวันนี้กับอุรุกวัย ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐ ทีวี ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น.เป็นต้นไปจะน่าสนใจ และจะเป็นทั้งโอกาส กับบทเรียนให้วงการฟุตบอลไทยอย่างมาก
เราคงไม่มี “ช่อง” หรือพื้นที่ว่างระหว่างไลน์เหมือนเกมกับจีน หรือได้เอนจอยการโต้กลับไปพื้นที่ว่างแล้วตามกันไปซัพพอร์ตพร้อมสร้างความหวาดเสียวตื่นเต้นเหมือนนัดแรก
สิ่งที่เราต้อง “ตระหนัก” คือ สมาธิ และความตั้งอกตั้งใจเล่นตามแท็คติกส์ของเราตลอด 90 นาทีด้วยความ “อดทน” โดยมิดฟิลด์ และตัวริมเส้นต้องช่วยเกมรับไม่ว่าจะเรียกว่า “หลัง 3” หรือถอยมาเป็น “หลัง 5” อย่างเป็นระบบ และมีวินัย
เกมรุกโดยเฉพาะเจ้ากอล์ฟก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า “คม” และใช้โอกาสน้อยจริง ๆ นอกนั้นขอเหมือนเดิม และขอให้ “เอนจอย” โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตร่วมกันกับแฟนบอล “ช้างศึก” ที่จะคอยเอาใจเชียร์จากทางบ้าน และที่สนามครับ