ปลดปล่อย

เหลืออีกประมาณ6 ชั่วโมงเท่านั้นที่หลายๆคนน่าจะได้นั่งลุ้นเกมใหญ่ระหว่างอาร์เจนติน่ากับโครเอเชียไปด้วยกัน
อย่างที่รู้และพูดกันครับว่าเกมนัดนี้มีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะต่อกับทีม“อัลบิเชเลสเต้” ที่พลาดมาแล้วในเกมแรกกับไอซ์แลนด์และไม่สามารถจะพลาดได้อีกเพราะหากก้าวผิดอีกครั้งเดียวนั่นอาจหมายถึงมีโอกาสที่พวกเขาจะไม่ได้ไปต่อในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ทันที
และสำหรับแฟนฟุตบอลส่วนใหญ่- หากนักเตะอย่างลิโอเนลเมสซี่จะถูกหยุดเส้นทางในฟุตบอลโลกเอาไว้แค่นี้
มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากนะครับ
เอาความรู้สึกตรงๆของใจผมก็อดเป็นห่วงอาร์เจนติน่าไม่ได้
จากที่เห็นและเป็นอยู่ทีม“ฟ้าขาว” ภายใต้การนำของฮอร์เก้ซัมเปาลีในเวลานี้แย่ไปหมดทุกส่วน
ไม่ว่าจะด้วยขุมกำลังที่“ด้อย” กว่าคู่แข่งตัวเต็งเกือบทุกทีม(ถึงขนาดต้องใช้ฮาเวียร์มาสเชราโนที่ไปเล่นลีกจีนมายืนเป็นตัวหลักในแดนกลางนั่นเป็นหนึ่งในสัญญาณบอกว่าอาร์เจนติน่าน่าเป็นห่วงขนาดไหน)
ไม่นับระบบทีมที่เล่นกันเหมือนไม่มีระบบ
และเหนืออื่นใดคือตัวของเมสซี่เองที่ดูตกอยู่ใต้ความกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้นจากทั้งตัวของเขาเองความคาดหวังจากเพื่อนความคาดหวังจากแฟนๆและความคาดหวังของทุกคนในอาร์เจนติน่า
เวลาดูเมสซี่เล่นในเกมแรกกับไอซ์แลนด์ผมรู้สึกเหมือนเวลาที่ผมชอบไปยืนจ้องตู้กระจกที่โชว์คริสตัลของชวารอฟสกี้
มันสวยนะครับแต่มันไม่สามารถเปล่งประกายได้ด้วยตัวเองหากไม่มีแสงไฟ
และที่สำคัญมันเปราะบางและพร้อมจะแตกได้ตลอดเวลา
โดยที่ไม่รู้ว่าหาก“แตก” คราวนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรืออาจจะไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป
เพราะอย่างที่รู้ครับทุกคนบนโลกพูดถึงกันอยู่แค่เรื่องเดียว
“เมสซี่ต้องเป็นแชมป์โลก”
มันเป็นโทรฟี่เดียวในชีวิตที่เขาขาดไปและบดบังแชมป์ทั้งหมด32 รายการกับบัลลงดอร์อีก5 สมัยที่เขาเคยพิชิตมาได้ตลอดชีวิตการเล่นกับอาร์เซนอล
ทั้งๆที่มันก็ยิ่งใหญ่และอาจไม่แพ้ใคร
อย่างไรก็ดีในช่วงก่อนเกมมีอยู่คนนึงที่พูดไม่เหมือนคนอื่นและเป็นคำพูดที่ผมฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจที่ทำไมเราถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
คนที่พูดคนนั้นคือเอร์นานเครสโปอดีตศูนย์หน้าระดับตำนานคนหนึ่งของชาวอาร์เจนติน่า
และสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นประโยคง่ายๆแต่มีความหมายลึกซึ้ง
“เมสซี่ไม่จำเป็นต้องเป็นแชมป์โลกเพื่อที่จะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล”
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเราอาจจะไม่ทันได้คิดกันมากครับเพราะเรามองในอีกด้านที่คิดว่านักเตะอย่างเมสซี่ต้องได้แชมป์โลกสักครั้งชีวิตของเขาจึงจะสมบูรณ์และสามารถเทียบชั้นกับเหล่าตำนานในอดีตอย่างเปเล่และดีเอโก้มาราโดน่าได้
โดยเฉพาะกับมาราโดน่าตำนานเทพเจ้าลูกหนังของชาวอาร์เจนไตน์ที่เป็นตัวเปรียบเทียบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เครสโปพูดตรงและชัดเจนครับว่าเมสซี่ไม่จำเป็นต้องเป็นแชมป์โลกเพราะนักเตะอย่างโยฮันครอฟย์หรือมิเชลพลาตินี่เองก็ไม่เคยได้เป็นแชมป์โลกเหมือนกัน(และในเวลาเดียวกันนักเตะอีกมากมายที่เคยได้เป็นแชมป์โลกเราก็ไม่ได้ยกย่องนักเตะเหล่านั้นว่าเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดตลอดกาลเหมือนกัน- อันนี้ผมคิดตาม)
เหตุผลประกอบที่เขายกขึ้นมาคือตลอดมาอาร์เจนติน่าในความหมายถึงโค้ชประธานสหพันธ์ฯหรือแม้แต่แฟนฟุตบอลเองก็ตามที่ไม่ได้ช่วยเหลือเมสซี่อย่างที่ควรจะเป็นเลย
สำหรับเครสโปเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะเมสซี่เป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกแต่กลับไม่มีใครช่วยตัวเมสซี่เองใครก็รู้ว่าอยากเป็นแชมป์โลกมากขนาดไหนและตัวเขาก็น่าจะตกอยู่ใต้ความกดดันมหาศาล
ไม่นับเรื่องความแตกต่างทางองค์ประกอบระหว่างบาร์เซโลน่ากับอาร์เจนติน่าที่ต่างกันอย่างมาก
มันแทบจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลย
ขณะที่เรื่องที่จะเอาเมสซี่ไปเปรียบเทียบกับมาราโดน่าเครสโปสรุปให้ทุกคนได้ฟังอย่างเข้าใจง่ายที่สุดถึงสิ่งที่คนอาร์เจนติน่ารู้สึกจริงๆ
ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอา“ลีโอ” ไปเทียบกับ“ดีเอโก้”
เพราะดีเอโก้มาราโดน่าคือหัวใจของชาวอาร์เจนไตน์เขาเป็นมากกว่าแค่ตำนานฟุตบอลดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาเมสซี่เด็กที่ไม่เคยเล่นฟุตบอลอาชีพบนแผ่นดินบ้านเกิดเลยแม้แต่เกมเดียวมาเทียบเคียงได้
ดีเอโก้ก็คือดีเอโก้เป็นหนึ่งไม่มีสอง
เช่นเดียวกับเมสซี่เขาก็มีเรื่องราวและสิ่งที่น่าจดจำของตัวเอง
คำพูดของเครสโปมันฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่สำหรับผมในฐานะคนที่รักและผูกพันกับเมสซี่มานาน
มันฟังแล้วเหมือนกับได้รับการปลดปล่อยอย่างไรไม่ทราบครับ
เพียงแต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากเห็นเมสซี่แพ้หรือถูกหยุดความฝันตลอดชีวิตของเขาเอาไว้แค่นี้
เพราะในหัวใจของคนที่รักฟุตบอลไม่มีใครที่ไม่อยากเห็นลิโอเนลเมสซี่ได้ชูถ้วยแชมป์โลกครับ🙂