คารวะ ‘เป๊ป’ ขอบคุณ ‘คล็อปป์’

ทุกคนซูฮกยกแม่โป้งให้ แมนฯ ซิตี้ ว่าคู่ควรกับแชมป์พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้
ชนะ 14 นัดรวด กวาดเรียบ 42 คะแนนหลังสุด ไม่ปล่อยหลุดเลยสักแต้ม แบบนี้ไม่เรียกว่าคู่ควรก็ไม่รู้จะเรียกอย่างไร
แต่อันที่จริง เรือใบสีฟ้าเป็นเต็งจ๋านอนมาตั้งแต่ก่อนเขี่ยบอลคิกออฟฤดูกาลนี้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
เพลานั้นเหลือความสงสัยแค่ว่าทีมไหนจะจบรองแชมป์ และตามแมนฯ ซิตี้ สักกี่คะแนน
ซีซั่นก่อนหน้า เด็กของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดการสอย 100 แต้ม ทิ้งบรรดาคู่แข่งท็อปซิกซ์ด้วยกันแบบไม่ไว้หน้าไม่ให้เกียรติ
แมนฯ ยูไนเต็ด โดนไป 19 , ไก่ 23, หงส์ 25, เชลซี 30
ส่วนอาร์เซน่อล ที่เข้าป้ายอันดับ 6 ในฤดูกาลสุดท้ายของอาร์แซน เวนเกอร์ ห่างเกือบๆ 40 คะแนน
ถ้าเป็นกอล์ฟ แฮนดิแค็ปขนาดนี้คงห่างระดับมือโปรกับพวกสมัครเล่น
และไล่จากอันดับ 8 คือเอฟเวอร์ตัน เป็นต้นไป เก็บแต้มไม่ถึงครึ่งของเรือใบด้วยซ้ำ
ไม่แปลกที่แมนฯ ซิตี้ แทบจะตีตราจองแชมป์อีกสมัยโดยยังไม่ต้องลงเตะสักนัด
ยิ่งสิงห์-ปืน ปรับเปลี่ยนกุนซือ
ยิ่งผีแดงเตรียมตัวไม่ดีในช่วงปรีซีซั่น
ยิ่งไก่เดือยทองเงียบสงัดในตลาดซื้อขายนักเตะ
จะมีก็แต่หงส์ที่ดูพร้อมกว่าใคร ทว่าช่องว่าง 25 คะแนนจากฤดูกาลก่อน เหมือนลิเวอร์พูลแบกน้ำหนักข้ามรุ่นจากไลท์เวทไปชกกับมวยใหญ่
สู้ยังไงก็เห็นแต่โอกาสแพ้
ความหวังเดียวที่พอเป็นไปได้ คือภาวนาให้แมนฯ ซิตี้ รีดเหงื่อลดน้ำหนักลงมาพบกันครึ่งทาง
แปลว่าถ้าเรือใบดร็อปผลงานลงมาสัก 10-12 แต้ม เหลือราวๆ 88-90 คะแนน
บวกกับลิเวอร์พูล สามารถถีบผลงานขึ้นอีก 12-15 แต้มจากปีก่อนที่ทำได้แค่ 75 คะแนน
แบบนี้ค่อยสูสี
โดยธรรมชาติของความสำเร็จก็เหมือนของเหลว ย่อมไหลจากสูงลงต่ำ
แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาล 2017/18 เดินหน้าทุบสถิติเป็นว่าเล่น ไม่เฉพาะการกด 100 คะแนนเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์
ฉะนั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงรู้ดีแก่ใจว่าลูกทีมยากจะทำได้เหมือนเดิม
คำถามคือพวกเขาจะถดถอยไปมากน้อยแค่ไหนกัน
หล่นแบบลิฟท์สลิงขาด หรือแค่วูบเหมือนเครื่องบินตกหลุมอากาศ
หลังการโรมรันฝุ่นตลบครบ 38 นัด คำตอบถูกเฉลยว่าแมนฯ ซิตี้ เกือบไม่ด้อยไปกว่าฤดูกาล 17/18 เลยด้วยซ้ำ
กวาด 98 แต้ม น้อยลงแค่ 2
ชนะ 32 นัด (สถิติพรีเมียร์ ลีก) เท่ากัน
ยิง 95 ลูก ต่ำกว่าปีก่อน 11 ประตู
แต่หลังบ้านแน่นขึ้นเสียแค่ 23 ดีกว่าเดิม 4 ลูก
ผลงานแทบจะถ่ายสำเนากันมาทีเดียว
ความเก่งกาจสามารถของนักเตะไปจนถึงทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชก็ส่วนหนึ่ง
แต่เหตุผลสำคัญไม่แพ้กันคือการไล่ล่าแบบกัดไม่ปล่อยของลิเวอร์พูล
เป๊ป รู้ดีว่าเบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในปีนี้ของแมนฯ ซิตี้ ต้องยกความดีความชอบครึ่งหนึ่งให้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์

ไม่มีหงส์ทีมเดียว เรือใบอาจป้องกันแชมป์ได้แบบโลกไม่จดจำ
บางที พวกเขาอาจโยนแต้มทิ้งเรี่ยราดได้อีก 10-12 แต้ม โดยที่ยังดีพอคว้าแชมป์แบบไม่รู้สึกกดดัน
เพราะทั้งเชลซี, สเปอร์ส, อาร์เซน่อล และแมนฯ ยูไนเต็ด ต่างมีซีซั่นที่น่าผิดหวังในพรีเมียร์ ลีก
แต่กลายว่าแมนฯ ซิตี้ ถอนเท้าออกจากคันเร่งไม่ได้ กับการถูกลิเวอร์พูล บี้ชนิดผลัดกันขึ้นนำผลัดกันเป็นฝ่ายตาม
จากที่เคยประเมินเล่นๆ ว่าหงส์ทำผลงานดีขึ้นสัก 12-15 คะแนนจากปีก่อนก็เยี่ยมยุทธ์แล้ว แต่คล็อปป์ ทะลึ่งดันไปถึง 22 แต้ม
เป๊ป ถึงกับยอมรับสีหน้าเครียดว่าตลอดการคุมทีมมา 10 ปี นี่คือครั้งแรกที่โดนกดดันหนักหน่วงจนไมเกรนแแทะเส้นประสาท
อุตส่าห์ชนะ 5 นัดติดก็แล้ว 10 นัดติดก็แล้ว ยังสลัดไม่หลุดจากหงส์ที่กระโดดขี่คอเกาะหลัง
ถึงที่สุดต้องงัดท่าไม้ตาย กวาดชัยชนะรวด 14 เกมหลังสุดเพื่อคว้าแชมป์ด้วยช่องว่างห่างแค่ 1 แต้ม
นี่คือการต่อสู้แย่งแชมป์ที่สร้างมาตราฐานและบรรทัดฐานใหม่ให้กับพรีเมียร์ ลีก
คำว่าเสมอ เผลอๆ มีค่าเท่ากับแพ้
ทั้งซีซั่น ลิเวอร์พูล เสียแต้มให้ทีมนอกท็อป-6 เพียงแค่ 3 แมตช์ คือเสมอเลสเตอร์, เวสต์แฮม และคู่แข่งร่วมเมืองอย่างเอฟเวอร์ตัน
ทั้งซีซั่น ลิเวอร์พูล แพ้นัดเดียวเอติฮัด สเตเดี้ยม
ทั้งซีซั่น ลิเวอร์พูล เสียแค่ 22 ประตู และคลีนชี้ตถึง 21 นัด
ทั้งซีซั่น ลิเวอร์พูล โกยคะแนนขาดแค่สามจะครบร้อย
แต่สุดท้ายก็ยังดีไม่พออยู่นั่นเอง
เพราะแชมป์มีเพียงทีมเดียวที่จะได้ครอง
แม้คำว่า “คู่ควร” สามาถถูกนิยามมากกว่าหนึ่งก็ตาม….