2 ปีที่ผ่าน เส้นทางที่สวนกันของยูไนเต็ด-อายักซ์

อาจจะจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ผมพอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่านัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรป้า ลีก ในฤดูกาลนั้นมีความน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ภายใต้การคุมทีมอย่างเป็นทางการในฤดูกาลแรกของโจเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งเขาตั้งเป้าหมายชัดเจนในการจะไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ด้วยตั๋วผ่านทางพิเศษด้วยตำแหน่งแชมป์ยูโรป้าลีก หลังในฤดูกาลปกติทำได้เพียงอันดับที่ 6 เท่านั้น
ขณะที่อายักซ์ในเวลานั้นเป็นทีมดาวรุ่งม้ามืดที่ทะลุมาไกลเหลือเชื่อที่บอกว่าเหลือเชื่อเพราะตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาแม้กระทั่งในฮอลแลนด์เองพวกเขาก็ไม่ใช่ทีมที่ครองความเป็นหนึ่งอย่างถาวร ดูจะเป็นรองทีมคู่แข่งอย่าง พีเอสวี หรือฟายนอร์ด ร็อตเตอร์ดัม ด้วยซ้ำไป
กระนั้นอายักซ์ ก็มีสตาร์เด่นอย่าง แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ที่หลายคนจับตามอง
ขณะที่ในสนามยังมี มัทธิส เดอ ลิกต์, ฮาคิม ซิเยค บนม้านั่งก็มี แฟรงกี้ เดอ ยอง, ดอนนี ฟาน เดอ บีค และดาวิด เนเรส ด้วย
วันนั้นเกมจบลงด้วยความสมหวังของเหล่าเร้ดอาร์มี่ครับ พวกเขาใช้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าสยบทีมพลังหนุ่มของอายักซ์ได้ไม่ยากด้วยสกอร์ 2-0 คว้าแชมป์และตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ สมราคา The Special One ผู้เชี่ยวชาญด้านการคว้าถ้วยรางวัล
แต่นั่นเป็นเรื่องเก่าไปแล้วครับ
ผ่านมาไม่ถึง 2 ปีดี ดูเหมือนเส้นทางของ 2 สโมสรนี้จะสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
จริงอยู่ ยูไนเต็ด ไม่ได้ถึงกับย่ำแย่จัด พวกเขาได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก (ย้ำรองแชมป์) และแม้ในฤดูกาลนี้จะยากลำบากจนมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ทะลุเข้ามาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการพลิกเขี่ยปารีสแซงต์-แชร์กแมง ตกรอบแบบปาฏิหารย์
ถึงจะแพ้คาบ้านที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดมา แต่ฟอร์มถือว่ามีช่วงที่เล่นกันใช้ได้ และสถิติก็ดูบ่งชี้ว่าพวกเขาทำได้เยี่ยมกว่าในเกมเยือน
ไหนจะคัมป์ นู เป็นสนามที่พวกเขาเคยสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นมาแล้วในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 1999 โดยคนที่เป็นฮีโร่ในวันนั้นก็คือคนที่คุมทีมอยู่ข้างสนามในเวลานี้อย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
รู้ว่ายากแต่พวกเขาก็แอบหวัง – เราต่างรู้ดี
อย่างไรก็ดีปาฏิหารย์ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าบาร์เซโลน่า ทีมที่พวกเขาแพ้ทางอย่างสิ้นเชิง
ความจริงอาจจะพูดว่าพวกเขาแพ้ ลิโอเนล เมสซี่ คนเดียวก็อาจจะได้เหมือนกันครับ
แต่ความจริงยิ่งกว่าคือการที่ โซลชา เรื่อยไปจนถึงบอร์ดบริหารสตาฟฟ์ นักฟุตบอลในทีม รวมถึงแฟนบอลได้เห็นกระจกเงาแห่งแอริเซดเป็นคำรบที่ 2 อีกครั้ง
ว่าพวกเขาอยู่ ณ จุดใด และยังห่างไกลจากจุดที่ฝันแค่ไหน

สถานการณ์และบรรยากาศในโอลด์ แทรฟฟอร์ด นั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ ช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์ที่หอมหวานได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว พวกเขาชนะน้อยลงเรื่อยๆ และแพ้มากขึ้นเรื่อยๆ
นักเตะที่เคยทำผลงานได้น่าประทับใจในช่วงแรกที่โซลชา กลับมาก็พาลกลับไปเล่นบ้อท่าเหมือนในวันที่ มูรินโญ่เอาดื้อๆ
ปอล ป็อกบา ที่เคยเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนทีมอย่างมีชีวิตชีวา ดูสิว่าที่คัมป์ นู เขาทำอะไร?
สิ่งที่ชัดเจนคือยูไนเต็ด จำเป็นต้องมีการ “ผ่าตัด” ทีมครั้งใหญ่ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องของการซื้อมาขายไปของผู้เล่นในทีมที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่ต่ำกว่า 7-8 จุด
แต่หมายถึงทัศนคติของทีม ที่ถึงเวลาจะยอมรับความจริงแล้วว่าพวกเขาอยู่ในช่วงวันเวลาที่มืดมนอนธการ และทางเดียวที่จะกลับมาผงาดอีกครั้งได้คือการร่วมกันคนละไม้คนละมือ
พิมพ์เขียวของการกอบกู้สโมสรต้องทำอย่างรอบคอบ รายละเอียดทุกอย่าง กรอบเวลา เป้าหมายต้องชัดเจน
มากกว่านั้นคือการสนับสนุนคนที่สวมหัวโขนอย่างโซลชาให้เต็มที่
เขาอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด และแน่นอนมันช่วยไม่ได้ครับที่บางคนอาจจะคิดถึงเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ขึ้นมา และพาลโทษบอร์ดบริหารที่ด่วนตัดสินใจแต่งตั้งโซลชารวดเร็วไปสักนิด แต่หากมองในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโซลชา ไม่ได้ถึงกับทำอะไรผิด เมื่อกำลังพลของทีมมันได้แค่นี้จะฝืนจะยื้ออย่างไรก็ได้แค่นี้
จะดีหรือชั่ว จะถูกหรือผิดก็ขอให้เวลาเขาได้พิสูจน์ตัวเองสักฤดูกาลเถิด

อย่างอายักซ์ เห็นภาพความสำเร็จที่งดงามบุกพิชิตยูเวนตุส ได้เป็นทีมที่ 2 ต่อจากเรอัล มาดริด พร้อมสถิติที่สวยงามอีกมากมาย และสไตล์การเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจนั้น
ในเบื้องหลังแล้ว พวกเขาผ่านการปฏิวัติครั้งใหญ่ภายในทีมมาตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว
สิ่งที่เราได้เห็นวันนี้จึงเป็นผลสำเร็จของความพยายามที่ทำมาต่อเนื่องยาวนาน และทำทุกอย่างอย่างเป็นระบบ
โดยคนที่วางรากฐานให้คือ โยฮัน ครอยฟ์ ซึ่งสามารถเรียกว่าเป็นผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้ายของเขาที่เหลือไว้ให้อายักซ์ สโมสรรักแรกของเขาก่อนจะกลายร่างเป็นเทวดากลับขึ้นฟ้าขึ้นสวรรค์ไปจริงๆ
ทีมใหญ่อย่างยูไนเต็ด อาจไม่ใช้เวลานานขนาดนั้นเพื่อจะกลับมาครับ ขนาดลิเวอร์พูล ก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น
ความยากคือการหาคนให้ถูกกับงาน และอดทนมากพอไหม
ถ้าทำได้ รางวัลของพวกเขาก็คือสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน
ความสำเร็จ รอยยิ้ม และความภูมิใจ