วิหารปีศาจที่ล่มสลาย

“ผมอยากขอโทษแฟนๆ พวกเขาเป็นพวกเดียวที่มาพร้อมกับตราสโมสรในวันนี้และสามารถเชิดหน้าได้ ขณะที่พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้”
คำขอโทษจากใจของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในฐานะผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นบทสรุปของเกมแห่งหายนะที่กูดิสัน ปาร์ค ได้อย่างชัดเจนที่สุด
พวกเขาไม่ใช่แค่เป็นผู้แพ้
แต่เป็นผู้แพ้ที่น่าอับอาย
สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 90 นาทีเศษที่เมอร์ซีย์ไซด์ เป็นหนึ่งในเกมอัปยศที่สุดที่เราได้เห็นทีมที่ครองแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดของอังกฤษต้องตกอยู่ในสภาพนี้
ไม่ใช่เพียงเรื่องของขีดความสามารถ แต่เป็นเรื่องของการลงสนามโดยไร้ความเป็นมืออาชีพ ลงเล่นโดยขาดความมุ่งมั่น ไม่แสดงให้เห็นถึงความพยายาม
อยากใช้คำเปรียบเปรยว่าพวกเขาลงสนามเพียงแค่ “ครึ่งใจ” แต่ก็เกรงว่ามันอาจจะมากเกินไป เพราะดูเหมือนนักเตะหลายคนในชุดสีบานเย็นลงเล่นด้วยหัวใจที่น้อยกว่านั้น
ผลลัพธ์ของการลงเล่นแบบนั้นเป็นอย่างไร?
•ในครึ่งแรกยูไนเต็ด มีระยะทางการวิ่งรวมกันของผู้เล่นน้อยกว่าเอฟเวอร์ตันถึง 4 ก.ม.!
•จากนั้นในครึ่งหลังทุกอย่างก็เหมือนเดิม พวกเขายังวิ่งน้อยกว่าเอฟเวอร์ตันอีก 4 ก.ม. หรือสรุปตัวเลขเป๊ะๆคือ 8.03 ก.ม. ตลอดทั้งเกม
•และ 17 เกมนับตั้งแต่โซลชาคุมทัพในพรีเมียร์ลีก มีถึง 15 นัดที่พวกเขาทำระยะวิ่งได้น้อยกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นการบ่งบอกชัดเจนถึงระดับของความพยายามผู้เล่นในทีม
•มันเป็นการพ่ายแพ้ในเกมเยือน 5 นัดติดต่อกัน (ทุกรายการ) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ มี.ค.1981 ในยุคของ เดฟ เซ็กซ์ตัน
•ยูไนเต็ดแพ้เกมเยือนพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 3 นัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ม.ค.1996
•พวกเขาแพ้เอฟเวอร์ตันทีมที่เคยเคี้ยวเล่นเป็นขนมย่อยยับถึง 4-0 เป็นผลงานแย่ที่สุดนับตั้งแต่เคยแพ้ 5-0 ใน ต.ค.1984 ซึ่งยุคนั้น“ทอฟฟี่เมน” ครองเมือง
•ทั้งฤดูกาลยูไนเต็ดเสียถึง 48 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นการเสียประตูมากที่สุดตลอดทั้งฤดูกาลนับตั้งแต่ปี 1978-79 ซึ่งเป็นยุคตกต่ำของสโมสร เสียไปถึง 63 ประตู
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสำหรับชาวเรดอาร์มี่แล้วเป็นเรื่องที่ไม่สามารถ “ยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง”
ไม่แปลกครับที่หลังจบเกม แกรี่ เนวิลล์ ตำนานจาก Class of ’92 ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในนักวิจารณ์ที่ดีที่สุดของอังกฤษจะออกมาสับทีมเละชนิดไม่มีการไว้หน้า
“เนฟ” บอกว่าถ้าเจอ “วัชพืช” ในสวนก็ต้องกำจัดออก ตอนนี้ที่สโมสรมีต้น Japanese knotweed (ต้นผักไผ่ญี่ปุ่น) ขึ้นและมันก็กำลังทำลายฐานรากของบ้าน (ต้นนี้จริงๆเก็บกินได้ แต่รากมันจะชอนไชทำลายผืนดิน โครงสร้าง ฯลฯ) ก็จำเป็นต้องรับมืออย่างถูกต้อง
คนที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้สำหรับเนวิลล์ ไม่ใช่นายใหญ่อย่างโซลชา แต่เป็นผู้เล่นในทีม
หลายคนที่ได้ลงสนามไม่สมควรจะได้ลงสนาม ซึ่งเนวิลล์ เลี่ยงจะเอ่ยชื่อแต่ก็บอกใบ้ว่าเป็นคนที่มีชื่อปรากฏในข่าว หรือบนโซเชียลมีเดียตลอดเวลา
แต่สำหรับนักวิจารณ์อีกหลายคน โดยเฉพาะเจอร์เมน จีนาส คิดว่าคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไรก็หนีโซลชาไม่พ้นครับ

ความจริงคนที่ควรตำหนิไม่น้อยกว่ากันคือบอร์ดบริหารของยูไนเต็ดที่ใจเร็วด่วนได้รีบแต่งตั้งกุนซือชาวนอร์เวย์ก่อนทั้งๆที่ควรจะรอจนจบฤดูกาล
เพราะนับตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง ผลงานของเขากับยูไนเต็ดก็สาละวันเตี้ยลงตามลำดับ
อย่างไรก็ดีผมมองว่าความตกต่ำของยูไนเต็ด นั้นเป็นเรื่องที่มีที่มาที่ไป
และบางทีการแต่งตั้งโซลชาก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด เพียงแต่มันเป็นการตัดสินใจที่อาจจะเร็วเกินไปสักนิด
มองจากสถานการณ์ภายในทีมแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าต่อให้เป็นกุนซือที่เก่งหรือมีประสบการณ์มากกว่า พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไรไหว?
กับทีมที่มีนักเตะที่พยายามเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่างปอล ป็อกบา
กับนักเตะที่มีผู้รักษาประตูที่ผลงานคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นมีข่าวเรื่องของการต่อสัญญาหรือข่าวการย้ายทีมหรือไม่
กับทีมที่มีกองหลังอย่าง คริส สมอลลิง, ฟิล โจนส์ และมีกัปตันทีมที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งอย่าง แอชลีย์ ยัง
จุดเปลี่ยนของยูไนเต็ด เริ่มต้นหลังจากที่พวกเขาแพ้ต่อ อาร์เซนอลในต้นเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นเกมหลังจากที่ทุกอย่างขึ้นไปถึงจุดสูงสุดด้วยการพลิกล็อกบุกเอาชนะเปแอสเช ได้ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ราวกับว่าพวกเขาได้ใช้ความพยายามและโชคทั้งหมดไปในเกมนั้น
อย่างไรก็ดีในรายละเอียดแล้ว ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นเหมือนในช่วงแรกที่โซลชาเข้ามาคุมทีมสักพักใหญ่ๆ พวกเขาตั้งรับเป็นหลักและรอสวนเอาโดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นในแนวรุกอย่างมาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี มาร์กซิยาล, เจสซี ลินการ์ด และเอ่อ…โรเมลู ลูคาคู เข้าทำ
หัวใจของเกมบุกคือการเปิดบอลจาก ปอล ป็อกบา ที่ออกบอลครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ทันที

เพียงแต่เมื่อ มาร์กซิยาล และลินการ์ดเริ่มเจ็บ, แรชฟอร์ด เริ่มฝืดป็อกบาเริ่มฟอร์มตก ทุกอย่างก็แย่ลงตามลำดับ
ในเกมรับ การปรับแท็คติกส์การเล่น การสลับตัวผู้เล่นไปมา และรวมถึงการขาดนักเตะอย่างอังเดร เอร์เรร่า ก็มีส่วนไม่น้อย
การแพ้อาร์เซนอล ซึ่งเป็นแพ้ครั้งแรกของโซลชา นำไปสู่หายนะเมื่อพวกเขาโดนวูล์ฟสปราบได้ในเอฟเอ คัพ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียความมั่นใจ ก่อนที่จะแพ้ “หมาป่า” อีกครั้ง
และทุกอย่างพังทลายเมื่อโดน บาร์เซโลน่า สอนบอลในเกมที่ 2 ของรอบ 8 ทีมสุดท้ายแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่คัมป์ นู
ระหว่างทางยูไนเต็ดยังต้องเผชิญกับกระแสข่าวที่ทำให้บรรยากาศในทีมเสีย โดยเฉพาะข่าวเรื่องการย้ายทีมของ ปอล ป็อกบา ที่จู่ๆก็ส่งสัญญาณให้รู้ว่ายังต้องการจะย้ายออกจากทีม หลังเรอัล มาดริด ได้ซีเนอดีน ซีดาน กลับมาคุมทีม
เอร์เรร่า มีข่าวจะย้ายไปเปแอสเชแบบไม่มีค่าตัว
ยังมีข่าวการโละผู้เล่นอีกหลายคน ไม่ตำ่กว่า 7 ตัว และข่าวความไม่พอใจของ ดาวิด เด เฮอาที่ต้องการสัญญาใหม่ที่ได้เงินมากกว่าเดิมจากความไม่พอใจที่เห็นสโมสรจ่ายเงินมหาศาลแบบหน้ามืดให้กับนักเตะที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ
ทั้งหมดรวมกันแล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพนี้ครับ
ทุกอย่างมันเลวร้ายในระดับที่ขุมนรกยังถูกทำลายได้
ส่วนวิธีหรือแนวทางในการแก้ปัญหา?
เรียนตรงๆว่ายากมากครับ เพียงแต่สิ่งแรกที่โซลชาจะทำได้คือการ“คัด” นักเตะที่ไม่มีใจให้ออกไปไกลๆก่อน
เอาเฉพาะคนที่ยังมีใจเหลืออยู่ไว้ แล้วก็ส่งลงสนามในเกมที่เหลือเพื่อปลุกบรรยากาศดีๆกลับมาให้ได้เป็นอย่างแรก
ชัยชนะสักนัดก็เพียงพอจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้ เหมือนที่เขาทำได้ในเกมกับคาร์ดิฟฟ์ และนำไปสู่ผลงานการเริ่มต้นที่แสนมหัศจรรย์
หลังจากนั้นเมื่อจบฤดูกาลก็ค่อยจัดการ “ทำในสิ่งที่ควรทำ” โดยเฉพาะเรื่องของนักเตะที่มีปัญหา ซึ่งจากถ้อยคำของโซลชาก่อนเกมกับเอฟเวอร์ตัน ผมรู้ว่าเขารู้ว่าใครคือปัญหาและเขารู้ว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
อยู่ที่การสนับสนุนของบอร์ดบริหารว่าจะเอาด้วยแค่ไหน
แต่ที่ผมบอกได้คือคราวนี้ไม่สนับสนุนผู้จัดการทีมให้เต็มที่อีกยูไนเต็ดจะยิ่งแย่ไปกว่านี้อีก
พื้นฐานของพวกเขาไม่ใช่ทีมที่เลวร้าย แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้สูญเสีย “สถานะ” ของการเป็นทีมระดับท็อปไปแล้วและสิ่งเหล่านี้ไม่มีทางลัดใดนอกจากการค่อยๆพยายาม “สร้าง” มันขึ้นมาอีกครั้ง
มันเป็นโปรเจ็คต์ระยะยาวที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี และเป็นไปได้ที่จะไม่เสร็จในยุคสมัยของผู้จัดการทีมเพียงคนเดียว
ไม่ต่างอะไรจากวิหารโนเตรอะดาม ที่ถูกเพลิงเผาผลาญจนมอดไหม้
ปีศาจแดงจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ – ก็ต้องใช้ความพยายามที่มากเท่าๆกันครับ