คำสัญญาที่ได้รับการเติมเต็ม

1.
“พ่อ”
เสียงของเจ้าหนุ่มน้อยดังขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่บทเพลงประจำการแข่งขัน ยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก ดังขึ้น
บทเพลงนั้นต้อนรับ 2 ยอดทีมจากอิตาลี ในยุคสมัยที่สโมสรจากแดนรองเท้าบูทยังเป็นเต้ยในโลกลูกหนัง
ทีมหนึ่งคือ ยูเวนตุส ที่มีนักเตะอย่าง อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, จานลุยจิ บุฟฟอน, ลิลิยอง ตูราม, ดาวิด เทรเซเกต์ และมีนายใหญ่อย่าง มาร์เซโล ลิปปี กุมบังเหียน
อีกหนึ่งทีมคือ เอซี มิลาน มหาอำนาจยุค 90 ที่กำลังทวงคืนวันเวลาที่ยิ่งใหญ่ พวกเขามีนักเตะอย่างเปาโล มัลดินี, อเลสซานโดร เนสตา, รุย คอสตา, ฟิลิปโป อินซากี และหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดของยุคสมัยอย่าง อังเดร เชฟเชนโก
แม้กระทั่ง ริวัลโด ยังเป็นได้แค่ตัวสำรองบนม้านั่งในทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ
เกมนี้จัดขึ้นที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด สังเวียนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่ก่อนหน้านั้น 4 ปีได้สร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่ด้วยการคว้า 3 แชมป์ใหญ่ในฤดูกาลเดียวได้สำเร็จ โดยมีผู้ชมเข้ามาเต็มความจุสนามถึง 62,315 คน
2 ใน 6 หมื่นกว่าคนนั้นคือพ่อลูกที่เดินทางมาจากแถบนอร์ธอีสต์ พวกเขามาจากซันเดอร์แลนด์ เมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อะไรในเกมลูกหนัง แม้ว่าความคลั่งไคล้ในเกมลูกหนังของคนแถบแวร์ไซด์จะไม่ได้เป็นสองรองใครก็ตาม
เจ้าหนูหันมาบอกกับพ่อของเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
“วันนึงผมจะลงเล่นในเกมนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก แบบนี้”
สำหรับเด็กอายุ 10 ขวบคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าในระบบอคาเดมีของซันเดอร์แลนด์ได้เพียงแค่ 2 ปี การพูดแบบนี้เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่ามันเป็นการพูดที่เพ้อฝัน ที่ผู้ใหญ่ไม่ควรจะใส่ใจอะไรให้มากเกินไปนัก
ไม่มีใครบอกได้ว่าความรู้สึกนึกคิดของคนเป็นพ่อในวันนั้นว่าเขารู้สึกอะไรอยู่และคิดอะไรอยู่
แต่ในแววตาของหนุ่มน้อย มันมีประกายบางอย่างซุกซ่อนอยู่
2.
มาดริดกลายเป็นสีแดง
แสงแดดที่แผดเผานั้นรุ่มร้อนอยู่แล้ว มันยิ่งกลับทวีความร้อนแรงมากขึ้นไปอีกจากความคึกคักของกองเชียร์จากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางมายังเมืองหลวงของสเปน
สีแดงถูกปูเต็มรอบปลาซา มายอร์ ที่แน่นไปถึงทั่วถนนรอบข้างเช่นกันกับที่น้ำพุซิเบเลส จุดเดียวกับที่ เรอัล มาดริด ได้ขึ้นรถแห่ฉลองแชมป์ใบใหญ่ของยุโรปในชัยชนะเหนือลิเวอร์พูล ที่กรุงเคียฟ
วันนี้ 1 ปีเศษผ่านมา เดอะ ค็อป จากเมืองลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลถึง 2,000 ไมล์เพื่อไปที่กรุงเคียฟ เช่นกันกับเหล่าค็อปชนทั่วโลกที่สามารถเดินทางมาถึงมาดริดได้อย่างง่ายดายขึ้น แม้ว่าจะต้องแลกกับค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลก็ตาม

บ้างบางรายที่อยากประหยัดเงินทอง ก็เลือกวิธีการเดินทางที่เต็มไปด้วยความสนุกและสร้างสรรค์
นั่งเรือต่อรถไฟบ้าง นั่งรถไฟต่อเรือต่อรถบัสบ้าง ไปจนถึงซื้อรถกระป๋องมาขับ แม้ว่าสุดท้ายมันจะพังกลางทางจนต้องหาทางผจญภัยต่อก็ตาม
ความสะดวกสบายที่มากกว่าทำให้เรื่องราวการเดินทางเพื่อไปให้ถึงนัดชิงชนะเลิศนั้นอาจไม่สนุกเท่ากับเรื่องราวของเหล่าค็อปชนที่เดินทางเหมือนการผจญภัยไปสู่อตาเติร์ก สเตเดียม สังเวียนของเกมนัดชิงชนะเลิศเมื่อ 14 ปีที่แล้ว
แต่หัวใจและน้ำใจของคนที่ตัดสินใจเดินทางมานั้นเท่าเทียมกัน
พวกเขาไม่ได้มาเพียงเพื่ออยากจะสนุก
พวกเขามาเพื่อส่งกำลังใจ ตามวิถีทางของแต่ละคน คนละเล็กคนละน้อย
ใครมีบัตรเข้าไปชมการแข่งขัน พวกเขามีหน้าที่ที่จะส่งพลังให้ถึงเหล่านักรบในชุดแดงเพลิงให้ได้ ทำเผื่อคนที่ไม่ได้เข้าไปในสนาม
ใครไม่มีบัตรเข้าชมการแข่งขัน พวกเขาต้องการแสดงพลังให้เห็นว่าจำนวนบัตรที่ยูเอฟาจัดไว้ให้เพียงไม่ถึง 2 หมื่นคนนั้นเป็นการดูถูกน้ำใจของแฟนบอลลิเวอร์พูลมากเกินไป
บทเพลงดังกระหึ่มไปทั้งมาดริด ทุกเพลงฮิตในหมู่ค็อปชนถูกนำมาเล่นบนเวทีให้กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน
บทเพลงเชียร์ดังขึ้นทุกมุมถนน
ทั้งวัน ทั้งคืน ไม่มีหยุด
3.
บรรยากาศในห้องนั้นเงียบสงบ
แต่ทุกคนรู้ดีว่าในความสงบนั้นมีมวลพลังงานมหาศาลที่พร้อมถูกระเบิดออกมา
เจ้าของมวลพลังงานนั้นคือ เจอร์เกน คล็อปป์
แม้จะไม่มีทีท่าว่าเขาจะระเบิดถ้อยคำที่รุนแรงให้สมกับความไม่พอใจที่สะสมมาเป็นเวลานาน นานจนไม่สามารถจะเก็บความรู้สึกนั้นได้อีกแล้ว แต่ใต้บรรยากาศแบบนั้นมันน่ากลัวยิ่งกว่าการเห็นคนเป็นเจ้านายโมโหเสียอีก
ลิเวอร์พูล กำลังจะลงสนามในเกมรอบ 16 ทีมแชมเปียนส์ ลีก ด้วยการไปเยือน บาเยิร์น มิวนิค หลังจากที่ 90 นาทีแรกที่แอนฟิลด์จบลงด้วยการเสมอกัน 0-0
ในความรู้สึกและในสายตา คล็อปป์มองว่าทีมของเขาแสดงให้เห็นถึงบางสิ่งที่ขาดหาย
มันเหมือนกับในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี บุกมาเยือนแอนฟิลด์และเล่นเกมรับที่พวกเขาไม่ถนัดจนสามารถบุกมาเก็บผลเสมอไปได้โดยที่เกือบจะชนะด้วยหาก ริยาด มาห์เรซ ไม่ได้ยิงจุดโทษข้ามคานไปในช่วงท้ายเกม
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังดูสูญเสียความมั่นใจและแนวทางของตัวเอง ผลเสมอ 4 จาก 6 นัดในช่วงนั้นทำให้พวกเขาสูญเสียสถานะผู้นำในพรีเมียร์ลีก
มันทำให้คล็อปป์ ตัดสินใจที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง
และการทำอะไรสักอย่างนั้น คือการพูดด้วยถ้อยคำสั้นๆ แต่มีความหมายอย่างยิ่ง
“ผมไม่คิดว่าพวกคุณจะรู้ว่าพวกคุณมีดีแค่ไหน” คล็อปป์กล่าว
“ซิตี้คิดว่าพวกคุณคือทีมที่ยอดเยี่ยม บาเยิร์นคิดว่าพวกคุณคือทีมที่ยอดเยี่ยม มีแค่ทีมเดียวเท่านั้นในโลกฟุตบอลที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็คือพวกคุณเอง”
วันนั้น ลิเวอร์พูล เอาชนะ บาเยิร์น ได้ด้วยสกอร์ 3-1 ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดนัดหนึ่งของสโมสร
เป็นหนึ่งในวันที่คล็อปป์มีความสุขมากที่สุด
4.
โม ซาลาห์ วางบอลลงตรงจุดโทษ เบื้องหน้าของเขาคือ ฮูโก ญอริส นายทวารชาวฝรั่งเศสที่มีดีกรีแชมป์ฟุตบอลโลก และเป็นคนเดียวกับทำพลาดในเกมที่ ลิเวอร์พูล พบกับ สเปอร์ส ที่แอนฟิลด์เมื่อวันสุดท้ายของเดือนมีนาคม
มันเป็นโอกาสในการแก้ตัวที่มาแบบไม่คาดคิดสำหรับคนที่ผิดหวังและเจ็บช้ำที่สุดเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
370 วันที่แล้ว ซาลาห์ อยู่ในช่วงฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในชีวิต ดีจนเข้าขั้นมหัศจรรย์ ดีจนทำให้ทุกคนเชื่อว่าขอแค่มีเขาอยู่ในสนาม ลิเวอร์พูล ก็พร้อมที่จะเอาชนะได้ทุกทีม
แต่ความเชื่อนั้นใช้ไม่ได้กับทุกคนและทุกทีม โดยเฉพาะกับเรอัล มาดริด
ถึงจะเป็นเรื่องยากจะชี้ชัดว่า เซร์คิโอ รามอส มีเจตนาที่จะ “ทำร้าย” และ “ทำลาย” ซาลาห์ หรือไม่ในการปะทะกันที่จบลงด้วยการบาดเจ็บรุนแรงที่ไหล่ของสตาร์ชาวอียิปต์ที่ไม่จำเป็นเลย
อาการบาดเจ็บที่ไม่ควรเกิด ทำลายซาลาห์อย่างร้ายกาจที่สุด เช่นเดียวกับส่งผลให้ลิเวอร์พูลหมดหวังที่จะเป็นผู้ชนะในการดวลวันนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซาลาห์ ไม่เคยกลับมาอยู่ในช่วงเวลาต้องมนต์เช่นนั้นอีก เขาอาจจะพยายามแล้วแต่มันไม่ได้ผลดีสักเท่าไหร่ บ่อยครั้งที่อย่าว่าแต่แฟนบอลที่เอือมระอา เพื่อนร่วมทีมเองก็โวยในความตั้งใจที่กลายเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาที่อยากจะทำในสิ่งที่เขาเคยทำได้เมื่อ 1 ปีก่อน
ในช่วงแรกมีการพูดว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นยังรังควาญอยู่
แต่ดูเหมือนว่าลึกๆ แล้ว เงามืดจากฝันร้ายที่เคียฟมากกว่าที่คอยหลอกหลอนเขา
ก่อนลงสนาม ซาลาห์ ปฏิญาณกับตัวเอง เขามองดูรูปภาพตัวเขาเองที่เจ็บปวดจนไม่อาจกลั้นน้ำตาได้บนพื้นสนามโอลิมปิก สเตเดียม ในกรุงเคียฟ
เขาจะไม่มีวันยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก
จากโชคร้ายเมื่อ 1 ปีก่อน กลายเป็นโชคดีเหลือเชื่อเมื่อ มุสซา ซิสโซโก เสียท่าถูก ซาดิโอ มาเน เปิดบอลติดตัวและลูกถูกแขนจนกลายเป็นการทำแฮนด์บอล
ผู้ตัดสิน ดาเมียร์ สโคมินา ไม่ลังเลที่จะให้เป็นจุดโทษทันทีแม้ว่าเกมจะเพิ่งเริ่มได้ไม่ครบนาที
ซาลาห์ รู้แค่ว่าครั้งนี้เขาต้องไม่พลาดอีก

ลูกยิงนั้นไม่ได้เข้ามุมมากนัก เช่นกับน้ำหนักที่ไม่ได้ถูกอัดแน่นจนระเบิดด้วยความแค้นที่สะสมมาเป็นเวลาหนึ่งปี
แต่มันดีพอที่จะผ่านมือของญอริส และเข้าไปสู่ก้นตาข่ายได้
รอยยิ้มบนใบหน้า โม กลับมาอีกครั้ง เช่นกันกับความสดใสในแววตา แม้ว่าหลังจากนั้นจะเป็นวันที่เขาเล่นไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม
5.
ในโรงพยาบาลในนิวซีแลนด์มีห้องพักคนไข้เล็กๆ อยู่ห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นมีเก้าอี้ 2 ตัวและโทรทัศน์จอแอลอีดีเครื่องหนึ่ง
หนึ่งในเจ้าของเก้าอี้ตัวนั้นคือ เดฟ อีแวนส์ ชาวเมืองโคเวนทรี ที่เพิ่งจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน และเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาเมื่อถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ท่อน้ำดี ซึ่งเป็นโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดรักษาได้
ทางเดียวที่จะประคับประคองได้คือการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งโหดร้ายไม่ต่างอะไรจากการตายทั้งเป็น
โรคร้ายทำให้เขาไม่สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ด้วยการเดินทางมาดูนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก ที่มาดริด เงินทองจำนวน 10,000 ปอนด์ที่เขาตั้งใจจะใช้เพื่อการเดินทางตามหาความฝัน ถูกเปลี่ยนวัตถุประสงค์ไปเพื่อใช้ในการเตรียมตัวเดินทางไปสู่ความตายแทน
เพราะเรื่องที่โหดร้ายกว่านั้นคือการที่ เดฟ พบว่าเขาไม่ได้เพิ่งป่วย หากแต่มะเร็งนั้นเป็นระยะสั้นท้ายแล้ว และเขาเหลือเวลาไม่มากนัก
ตามความเห็นของแพทย์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เดฟ น่าจะเหลือเวลาบนโลกใบนี้อีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น
แต่หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ไม่สมหวังกับแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 29 ปี และการรอคอยนั้นยังต้องดำเนินต่อไป แชมเปียนส์ ลีก ที่มาดริด คือรางวัลปลอบใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีบนโลกใบนี้
สำหรับ เดฟ มันคุ้มค่ามากพอที่เขาจะต่อสู้กับทุกราตรีเพื่อให้ตื่นมาในวันรุ่งขึ้น
ให้ได้อยู่ดูนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ของทีมที่เขารักที่สุดอีกสักครั้ง
เรื่องราวหัวใจนักสู้ของเขาถูกเผยแพร่ออกมา และกลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวการต่อสู้ที่น่าประทับใจมากที่สุดและเศร้าที่สุดในเวลาเดียวกัน
ข้อความอวยพรถูกส่งมาจากทุกมุมโลก รวมถึงคนสำคัญของลิเวอร์พูลอย่าง เอียน รัช, ร็อบบี ฟาวเลอร์, สตีเวน เจอร์ราร์ด และเจอร์เกน คล็อปป์
ข้อความสั้นๆ เหล่านั้นเมื่อรวมกันมันถูกแปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจที่มหาศาล
และมันกลายเป็นความมหัศจรรย์เมื่อ เดฟ ยังมีแรงพอที่จะนั่งดูเกมนัดชิงในห้องพักของเขา
วินาทีที่ ดิวอค โอริกิ จับแต่งบอลก่อนจะซัดด้วยซ้ายเสียบเสา เดฟชูมือขึ้นด้วยความสะใจ เสียงดีใจของเขาอาจจะแผ่วเบา แต่นั่นสุดเท่าที่แรงเขาจะมีแล้ว

จากนี้ไม่ว่าเวลาจะเหลือแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจแล้ว
6.
ความจริงแล้วเขาได้รับเชิญให้มาที่สนามด้วย
แต่ ลอริส คาเรียส ตัดสินใจที่จะไม่มาตามคำเชิญ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาสนใจในตัวเขาและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อปีที่แล้วอีก
สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้คือการส่งข้อความอวยพรถึงทุกคน
ด้วยหวังว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นอีก
ความจริงอีกด้านคือ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
การไล่บอลในแดนหน้า การวิ่งบ้าในแดนกลาง และการไล่กัดไม่ปล่อยในแดนหลัง ทำให้สเปอร์สไม่สามารถที่จะทำเกมในแบบที่พวกเขาถนัดได้ แม้จะพยายามงัดทุกตำรามาเล่นงานแนวรับของลิเวอร์พูลเพื่อทวงประตูคืนแล้วก็ตาม
พวกเขาไม่ได้สู้เพียงเพื่อตัวเอง แต่ยังสู้เพื่อเพื่อนร่วมทีม สู้เพื่อผู้จัดการทีม สู้เพื่อผู้บริหาร และสู้เพื่อแฟนบอลด้วย
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ คาเรียส ที่ถึงวันนี้จะไม่ได้อยู่ที่สนามแต่ยังเป็นหนึ่งในสมาชิก เป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ
บทเรียนจากความผิดพลาดมหันต์ของ คาเรียส ยิ่งทำให้ อลิสซัน ตั้งใจกับการเล่นเป็นพิเศษในเกมนี้ ซึ่งเป็นอีกเกมที่เขาแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาจะไม่มีวันยอมให้ลูกยิงของสเปอร์สผ่านเขาไปได้แม้แต่ลูกเดียว
เหมือนกับในวันที่เขาไม่ยอมให้นักเตะบาร์เซโลนา ยิงผ่านเขาไปได้ในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
และเขาทำได้สำเร็จ
ลิเวอร์พูลทำได้สำเร็จ
ถึงแม้จะไม่ใช่เกมนัดชิงชนะเลิศที่สนุกตื่นเต้น หรือมีอะไรให้น่าจดจำ แน่นอนว่าห่างไกลจากเกมระดับตำนานอย่างวันแห่งปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล ฟอร์มการเล่นของนักเตะในชุดแดงเพลิงก็ไม่ได้น่าประทับใจอะไรมากมายนัก
แต่พวกเขาทำได้ดีพอที่จะเป็นแชมป์
แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของสโมสร แชมป์ยุโรปสมัยแรกในรอบ 14 ปี
แชมป์ที่เกิดจากการต่อสู้ที่เข้มแข็งของทุกคน แชมป์ที่เป็นรางวัลของความพยายามหลังจากที่ต่อสู้อย่างหนักมาตลอด 9 เดือนในฤดูกาลที่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสโมสรหากไม่นับเรื่องของความสำเร็จ
แชมป์ที่ปลดเปลื้องหลายคนจากพันธนาการ ไม่ว่าจะเป็นตัวของคล็อปป์ ชายผู้ถูกสาปให้ผิดหวังมาถึง 6 ครั้งติดต่อกัน หรือลูกทีมทุกคนที่ตกอยู่ในสภาวะบอบช้ำทางจิตใจจากความผิดหวังที่พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก
บรรยากาศของการเฉลิมฉลองหลังจบเกมอาจไม่เหลือเชื่อเหมือนที่อิสตันบูล หรือแม้แต่ในเกมสยบบาร์ซาที่แอนฟิลด์ เพราะตลอดทั้งเกมลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหนือกว่า แกร่งกว่า และเก๋ากว่า โดยไม่ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะเพลี่ยงพล้ำอะไรมากมายนัก

แต่ภาพของการแห่คล็อปป์จากลูกทีมทุกคนเป็นภาพที่น่ารัก
ภาพที่ อลิสซัน วีดีโอคอลหาภรรยาและลูกสาวที่รออยู่ที่บ้าน
ภาพของเทรนต์ อาร์โนลด์ และโม ซาลาห์ ที่ผู้สื่อข่าวบอกให้รีบไปฉลองกับเพื่อนก่อนค่อยกลับมาให้สัมภาษณ์
บทเพลง You’ll Never Walk Alone ที่ดังกระหึ่ม
ทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเหล่าค็อปชนไม่ต่างจากความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ในวันวาน
เช่นกันกับการสวมกอดของชาย 2 คน
คนหนึ่งคือผู้จัดการทีมที่เคยให้คำมั่นว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งภายใน 4 ปีนับจากที่เขารับตำแหน่งในเดือน ต.ค. ปี2014
อีกหนึ่งคนคือกัปตันทีมที่เคยบอกกับพ่อของเขาไว้ว่าวันหนึ่งเขาจะลงเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก
วันนี้คือวันที่สัญญาได้รับการเติมเต็ม