เรือใบที่ไม่ปกติ

จากนัดที่ 2 มาถึงนัดที่ 5 และล่าสุดนัดที่ 8 คือนัดที่แมนเชสเตอร์ ซิตี ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ใน 8 นัดแรกของฤดูกาล
ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องคะแนนที่ตามหลังลิเวอร์พูล สิ่งที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา ควรคิดถึงมากกว่าในเวลานี้คือเกิดอะไรขึ้นกับทีมของเขา?
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นระดับคีย์แมนอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และอายเมอริค ลาปอร์ นั้นมีส่วนสำคัญต่อเรื่องประสิทธิภาพของทีม
รายแรกนั้นเก่งเหมือนพ่อมด พร้อมจะเสกอะไรให้เกิดขึ้นก็ได้ในสนามโดยเฉพาะการเปิดบอลที่แม่นยำเหมือนเอาไปวางไว้ตรงหน้า
ขณะที่รายหลังเหมือนจะไม่ใช่คนสำคัญแต่สำคัญกว่าที่ใครคิดเพราะนอกจากเกมรับที่แข็งแกร่งแล้ว การขึ้นเกมของเขาด้วยการเปิดบอลขึ้นหน้า ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว ไม่ว่าจะเรียดหรือโด่ง เป็นการเริ่มต้นจังหวะการเล่นที่สำคัญ
แต่เมื่อนี่คือแมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมที่มีขุมกำลังพร้อมสรรพมากกว่าใครในลีก – หรือบางทีอาจจะพูดได้ว่ามากกว่าใครในโลก – ต่อให้ขาดเดอ บรอยน์, ลาปอร์ หรือต่อให้ขาดใครไปอีกสัก 3-4 คน ด้วยขุมกำลังของพวกเขาและด้วยมาตรฐานที่สร้างต่อเนื่องมา 2 ฤดูกาล สิ่งที่คาดหวังจากทีมของเป๊ปไม่มีอะไรน้อยไปกว่าชัยชนะ
ดังนั้นไม่น่าแปลกใจครับที่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษ ถึงกับบอกหลังเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นพร้อมชัยชนะของ “หมาป่า วูลฟ์เวอแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ว่า “No one saw this coming”
ไม่มีใครคาดคิดจะได้เห็นสิ่งนี้
และเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ใครคาดคิดมาก่อน มันจึงทำให้ชัยชนะของขุนพลหมาป่าในเกมนี้หอมหวานมากเป็นพิเศษ
ไม่ต้องพูดถึงกองเชียร์คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลที่แอบลุ้นอยู่อย่างเงียบๆแต่คงไม่น่าจะเหลือใครเก็บเสียงได้กับ 2 ประตูของ อดามา ตราโอเร
วูล์ฟส มาในเกมนี้ด้วยเกมแพลนที่ชัดเจนครับ
“เจียมตัว”
แต่ “ไม่เกรงใจ”
อันที่จริงในฤดูกาลนี้ผลงานของวูล์ฟสไม่ดีเอาเสียเลย 6 นัดแรกในลีกพวกเขาไม่ชนะแม้แต่เกมเดียว เป็นการเสมอ 5 แพ้ 2 สถานการณ์นั้นแตกต่างจากในฤดูกาลที่แล้วมากที่พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่โดดเด่นและน่าจับตามองมากที่สุดในฐานะทีมน้องใหม่ที่สุดแกร่ง
ผลงานดังกล่าวไม่ใช่แค่ “เคราขาว” นูโน เอสปิริโต ซานโต นายใหญ่ที่กดดัน นักเตะในทีมก็กดดันและเริ่มกังวลถึงโรค Second Season Syndrome
บางทีปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีของพวกเขา?
บางทีการที่มีเกมฟุตบอลยุโรปในสมองตลอดเวลา เป็นสถานการณ์ที่ทีมระดับกลางถึงเล็กอย่างพวกเขาไม่คุ้นชินทำให้รับมือและทำตัวไม่ถูก
แต่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายเอาหลังจากที่พวกเขาชนะเกมแรกของฤดูกาลได้ด้วยการเฉือนเรดดิง ในลีกคัพ – แม้จะเป็นการชนะด้วยการดวลจุดโทษก็ตาม
ต่อด้วยชัยชนะในลีกนัดแรกเหนือวัตฟอร์ด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และตามด้วยชัยชนะนัดประวัติศาสตร์เมื่อบุกไปเอาชนะเบซิคตัสได้ถึงที่อิสตันบูล จากประตูชัยของวิลลี โบลี ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
2 ฤดูกาลที่แล้วพวกเขายังอยู่ในแชมเปียนชิพ แต่วันนั้นพวกเขาชนะในเกมยูโรปา ลีก นัดแรกในรอบเกือบ 40 ปี
แต่สิ่งที่น่าประทับใจมากกว่าคือ “ทัศนคติ” ของทั้งทีมครับ
หลังจบเกมดังกล่าวนักข่าวถามนูโนถึงความรู้สึกและการฉลอง แต่คำตอบที่ได้รับคือ “เวลานี้ผู้เล่นของเขากำลังอยู่ในกระบวนการรักษา (rehab) และเตรียมความพร้อมสำหรับเกมนัดต่อไปแล้ว (แมนฯ ซิตี) แล้ว”
ในการมาเยือนเอติฮัด พวกเขาอาจจะล้าบ้างจากเกมกลางสัปดาห์และการเดินทาง แต่ไม่ได้มาด้วยความคิดว่าพวกเขาจะไม่สามารถคว้าอะไรกลับมาได้จากเกมนี้
เป็นซิตี เสียอีกที่ดูขาดแรงบันดาลใจในการเล่นอย่างน่าประหลาดใจ
ความจริงพวกเขาเกือบจะพังตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วด้วยซ้ำหากวูล์ฟส ไม่ทิ้งโอกาสหลุดเดี่ยว 3 ครั้งไปแบบน่าเสียดาย
แต่ถึงจะเป็นโอกาสที่พวกเขาคว้าไว้ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดมันแสดงให้เห็นว่าซิตีมีจุดอ่อนที่ค่อนข้างใหญ่มากที่กองหลัง
หากอดทนได้มากพอ ขยันมากพอ วิ่งไล่ได้มากพอ ช่วยกันได้มากพอ ช้าหรือเร็วโอกาสจะกลับมา
วูล์ฟส เล่นวันนี้ไม่มีอะไรมากครับ ฟอร์มที่ดร็อปของซิตีทำให้พวกเขาไม่เจองานหนักมากนักในเกมรับ แต่ไม่ได้แปลว่ามันเป็นงานสบายเพราะไม่ว่าจะเป็นกองหลัง หรือกองกลางต่างทำหน้าที่กันอย่างหนักมากทุกคนในการต้านทานเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
โชคดีที่ผู้เล่นของนูโน มีคุณภาพมากพอที่จะทำได้มากกว่าแค่ตั้งรับและสาดบอลแบบไร้จุดหมาย
และโชคดีที่พวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่งมากพอที่จะไม่หวั่นไหวในยามที่พายุสีฟ้าโหมกระหน่ำ
ดังนั้นนอกจากจะต้านเอาไว้ได้ วูล์ฟส ยังได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการนั่นคือโอกาสในการสวนกลับ และสิ่งสำคัญคือมันเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม
ความยอดเยี่ยมของราอูล ฮิเมเนซ ทำลายแนวรับของซิตีได้อย่างง่ายดาย หลังทิ้งโอกาสในการหลุดเดี่ยวครึ่งแรกไป 2 ครั้ง คราวนี้เขาทำทางและจ่ายให้กับคู่หน้าที่ถูกปรับบทบาทจากตอนแรกที่เล่นวิงแบ็กขวาอย่าง อดามา ได้อย่างยอดเยี่ยม
อดามา อดีตเด็กฝึกหัดจากลา มาเซีย ที่ถูกค่อนแคะมานานในเรื่องของบอลสุดท้ายที่ไร้คุณภาพ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาจากอดีตมากด้วยการจบสกอร์ที่เฉียบขาด
ไม่ใช่แค่ลูกเดียว แต่เป็นถึง 2 ลูก!
หากชัยชนะเหนือเบซิคตัสคือชัยชนะประวัติศาสตร์ ชัยชนะเหนือซิตีที่เอติฮัดนั้นเหนือยิ่งกว่า
นักเตะวูล์ฟส เล่นได้น่าประทับใจทุกคน ทุ่มเท รักษาวินัย โดยเฉพาะพี่ใหญ่อย่างเจา มูตินโญ ที่วิ่งสู้ฟัดเป็นหมาบ้าในแดนกลาง และคอเนอร์ โคดี กัปตันทีมเลือดสเกาเซอร์ที่ไม่ยอมให้ใครผ่านไปได้ทั้งนั้น
ตรงข้ามกับซิตี หลังจบเกมนี้พวกเขาจำเป็นต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งอย่างเร่งด่วน
จริงอยู่ที่ทีมไหนก็พลาดได้ และทีมไหนก็มีช่วงเวลาที่แย่ได้ทั้งนั้น
แต่การพลาดในเกมที่ 2 5 และ 8 มันกำลังบอกอะไรเราอยู่หรือเปล่า?
ว่า “เรือใบสีฟ้า” เวลานี้ไม่ปกติ
พวกเขาไม่เหมือนฤดูกาลที่แล้ว และไม่เหมือน 2 ฤดูกาลที่แล้ว
มีบางอย่างที่แตกต่างออกไปมีใครสัมผัสได้เหมือนกันไหม?
Match facts
- แมนฯ ซิตี แพ้ในเกมพรีเมียร์ลีกที่เอติฮัด โดยทำประตูไม่ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 ในนัดที่แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0
- นับจากฤดูกาลที่แล้ว วูล์ฟส เป็นทีมนอกกลุ่ม Top6 ที่เก็บแต้มได้จากทีม Top6 มากที่สุดถึง 20 แต้ม